วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

    กระจับ สมุนไพรแห่งการบำรุงทุกเพศทุกวัย




    กระจับ

    กระจับ สมุนไพรแห่งการบำรุงทุกเพศทุกวัย (happy+)
    เรื่อง ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

              กระจับ สรรพคุณสมุนไพรชั้นเลิศ ช่วยบำรุงทุกเพศ ทุกวัย แถมช่วยดับพิษร้อน ทำเป็นอาหารก็ได้

              เมื่อพูดถึงต้น "กระจับ" หลาย ๆ คนอาจไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินว่ามีต้นไม้ชื่อแปลก ๆ ชนิดนี้ด้วยหรือ กระจับเป็นพืชน้ำ ส่วนใหญ่อยู่ใต้น้ำ โผล่ใบขึ้นมาเหมือนต้นบัว นับว่าเป็นคนไม้น้ำที่น่าสนใจมากชนิดหนึ่ง เพราะมีรูปร่างประหลาด มีผลหน้าตาเหมือนเขาควาย เด็ก ๆ ชอบเอามาต้มกิน หรือนาเป็นของเล่นเขาขวิดกัน

              "กระจับ" มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trapa bicornis. อยู่ในวงศ์ TRAPACEAE มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่าง ๆ ว่า เขาควาย มะแงง ม่าแงง พายับ เป็นต้น กระจับเป็นพืชน้ำล้มลุกอายุหลายฤดู ลักษณะเป็นกอลอยน้ำ ใบมี 2 แบบ คือ ใบได้น้ำเป็นเส้นยาวคล้ายราก ส่วนใบลอยน้ำมีลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ขอบใบแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ด้านล่างมีสีแดง ก้านใบยาว ตรงกลางพอง ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวสีขาว ออกที่โดนก้านใบ มีกลีบดอก 4 กลีบ บานเหนือน้ำ เมื่อเป็นผลจะจมลงใต้น้ำผลหรือผักกระจับมีสีดำขนาดใหญ่เปลือกหนาแข็ง เขางอโค้งคล้ายเขาควาย เนื้อในสีขาว ขยายพันธุ์โดยกรแยกหน่อ

    กระจับ

              กระจับมีสรรพคุณทางยาที่สำคัญ คือ เป็นยาบำรุงของทั้งเด็กผู้หญิง ผู้ชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยหลังฟื้นไข้ เนื่องจากเด็กต้องการการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แข็งแรง เป็นรากฐานของสุขภาพที่ดีในภายภาคหน้า ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยกระจับช่วยสร้างน้ำอสุจิในผู้ชาย สร้างไข่และผนังมดลูกในผู้หญิง ซึ่งล้วนเป็นกลไกของเสมหะ กระจับที่บำรุงเสมหะจึงทำหน้าที่สร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสืบพันธุ์ของทั้งสองเพศ 

              นอกจากนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่ากระจับช่วยบำรุงผู้สูงอายุ บำรุงกำลังคนไข้ ฟื้นฟูลำไส้หลังอาการท้องเสีย แก้อ่อนเพลียแก้เมาค้าง และนอกจากมีฤทธิ์ทางบำรุงแล้ว กระจับยังมีสรรพคุณในทางดับพิษร้อน เช่น การมีประจำเดือนมาก แก้ร้อนในกระหายน้ำ โดยเฉพาะการกินกระจับอ่อนสด ๆ เป็นต้น
              สรรพคุณที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดของ "กระจับ" คือ เป็นยาบำรุงครรภ์ บำรุงน้ำนม ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลชีวิต ชีวิตเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ของมารดา ผู้เป็นมารดาจะคอยระมัดระวังการใช้ชีวิต การกินยากินอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีผลกระทบมาถึงลูกในท้อง ทั้งยังแสวงหาอาหารที่เป็นประโยชน์ มีคุณสมบัติในการบำรุงทารกในครรภ์ และเมื่อลูกคลอดออกมาก็ต้องมีน้ำนมอันสมบูรณ์ให้ลูกดื่มกิน ซึ่งพืชพรรณที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ต้องมีสารอาหาร และความปลอดภัยสูง 

    กระจับ

              ในตำรายาไทยจัดให้ "กระจับ" เป็นหนึ่งในนั้น ที่พิเศษคือ กระจับบำรุงทารกในครรภ์และบำรุงน้ำนม ในมุมของการแพทย์แผนไทยกระจับมีคุณสมบัติหวาน เย็น ช่วยบำรุงเนื้อหนังให้บริบูรณ์ หรือบำรุงทางเสมหะ ซึ่งเป็นกลไกของการเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้ทารกเจริญเติบโตได้ดี ทำให้แม่มีน้ำนมเลี้ยงลูก


              ในความเป็นผู้หญิงที่จะต้องเป็นแม่ ภรรยา และผู้ดูแลคนในบ้านสุขภาพของคนในบ้านอยู่ในมือเรา ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การบำรุงครรภ์เหลือเพียงยาบำรุงเลือดที่รับจากคลินิกฝากครรภ์ อาหารการกินเพื่อบำรุงนั้นอยู่ในแคปซูลของบริษัทผลิตอาหารสเริม เพียงหันกลับมามองชะลอมใส่ฝักสีดาหน้าตาประหลาด อาจคืนพลังอำนาจในการบำรุงสุขภาพ ที่ผู้หญิงจะนำคืนมาให้ครอบครัว กระจับจึงเป็นอาหารของการบำรุงที่ควรด่านแก่การกินจริง ๆ

     ตำรับยา 
    ยาบำรุงกำลังกระจับสำหรับชาย-หญิง

     
              นำผลกระจับ 100 ผล ต้มน้ำทิ้งไว้ให้เย็น ปอกเปลือกออกนำเปลือกตากแดดให้แห้ง ตำผลใส่ในขวดแก้วไว้ นำผงยา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ผสมกับน้ำผึ้ง น้ำตาล นมดื่มวันละครั้ง ทุกวัน

     ตำรับอาหาร

              กระจับต้มสามารถนำมาปอกเปลือกต้มกินเล่นเป็นของว่าง นำมาทำเป็นของหวาน เช่น กระจับต้มน้ำขิง กระจับน้ำแข็งใส กินร่วมกับเม็ดบัว มะพร้าวอ่อนใส่น้ำหวานน้ำแข็งกินเป็นของหวาน และยังสามารถนำมาปอกอาหารได้ เช่น กระจับต้มซี่โครงหมู กระจับผัด และกระจับผัดพริกกุ้งนาง
    ที่มา : http://health.kapook.com/view104704.html

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ
          การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ   ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นต้น
          ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ   การทำโยคะ การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และที่สำคัญมาก ๆ คือ   จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ
วิธีการออกกำลังกาย
                การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น นายแพทย์ พิชัย ดิฐสถาพร  จาก โรงพยาบาลบาลเกษมราษฎร์ จังหวัดสระบุรี ได้กล่าวให้ความรู้ว่า  จะต้องให้กล้ามเนื้อหลัก ๆหรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย  
          1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น
          2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย   เช่น คาร์บอนไดออกไซด์   ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น
          3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน
          4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
          6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
          7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ  ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไป
สู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้
เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย
            เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน                ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้ารีบเร่งไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน
             ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น
              ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน   แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
           ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ
           แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้
การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
           รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ   อัศวมงคลกุล     ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย   นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม
           ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้
                1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก
                2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
                3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม
           หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับการออกกำลังกาย
          1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม   โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้
          2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น
          3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ
          4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายสัมพันธ์กับการหายใจ
            วิธีการหายใจที่ถูกต้อง เวลาหายใจเข้าพยายามหายใจเข้าทางจมูกเท่านั้น เพราะภายในจมูกมีเครื่องกรองอากาศ คือ ขนจมูก และมีเยื่อเมือก ๆ เหนียว ๆ ช่วยจับฝุ่นละอองในอากาศที่เข้ามาพร้อมลมหายใจเข้า ให้สูดลมหายใจเข้าในปอดให้มากที่สุดให้ปอดพองโต กลั้นหายใจไว้โดยนับ 1 ถึง 3 ช้า ๆ แล้วจึงค่อย ๆ หายใจออกทางปากให้มากที่สุดให้ปอดแฟบลง หรือท้องแฟบลง เพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจากเซลล์ออกมาให้มากที่สุด นั่นคือออกซิเจนจะเข้าไปในปอดเต็มที่ และ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากปอดเต็มที่ เช่นกัน ปอดเรามีความจุ 2 ข้าง ประมาณ 3.5 – 4.5 ลิตร แต่ที่เราหายใจตามปกติอยู่ทุกวันนั้น อากาศเข้าปอดเพียงครึ่งลิตรเท่านั้นเอง ของเสียหรือคาร์บอนไดออกไซด์ก็ออกมาไม่มาก เราจึงต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้องเพื่อ
สุขภาพของเราเอง
          
ปัจจุบันมีการรวมกลุ่มออกกำลังกายโดยการ เต้นแอโรบิค (aerobic) กันมากมาย มีผู้นำเต้น พร้อมกับเปิดเพลงจังหวะเร่าร้อน รีบเร่ง และเราก็ต้องเต้นให้เข้าจังหวะตามคนนำซึ่งอยู่บนพื้นสูง คนที่ร่วมเต้นบางคน บางครั้ง ก็เครียด เกร็งกลัวจะไม่ถูกจังหวะ ไม่เข้ากับกลุ่ม ไม่เข้ากับคนที่เต้นนำ ทำให้มีความเครียดเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการเต้นที่ไม่ถูกต้อง การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้องร่างกายจะเกิดด่างเพราะได้ออกซิเจนมาก แต่ที่เต้นอย่างเร่งรีบเร่าร้อนนั้น เป็น อันแอโรบิค ( unaerobic ) คือกลับได้คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดกรด  มาก ๆ เข้าก็กลับเป็นโทษแก่ร่างกายอีก
          ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกการหายใจให้ถูกต้อง ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองข้อแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายต่าง ๆ ตามที่กล่าวมานี้เป็นข้อแนะนำทางการแพทย์ทั่ว ๆ ไป ไม่เป็นกฎตายตัว ผู้ที่จะออกกำลังกายต้องพิจารณาตัวเอง อายุ สุขภาพ โรคภัยที่กำลังเป็นอยู่ จะออกกำลังกายอย่างไร แค่ไหน เมื่อไหร่ บางครั้งอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำก่อนออกกำลังกาย



ที่มา : http://edtech.ipst.ac.th/index.php/2011-07-29-04-02-00/19-2011-08-09-06-29-18/1600-2013-12-03-07-57-25.html

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

ตำนานวันสงกรานต์


นางสงกรานต์

นางสงกรานต์


          ตำนานนางสงกรานต์ ประวัตินางสงกรานต์ เรื่องนางสงกรานต์ทั้ง 7 คนเป็นใคร และนางสงกรานต์ประจําวันมีชื่ออะไร รวมถึงคำทำนายนางสงกรานต์แต่ละปีทำนายไว้อย่างไร วันนี้เรามีบทความเรื่องนางสงกรานต์ มาฝาก 

          เป็นที่ทราบกันดีว่า "วันสงกรานต์ก็คือ วันขึ้นปีใหม่ไทย แต่เพื่อน ๆ สงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าทำไม วันสงกรานต์ ต้องมี "นางสงกรานต์" วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมเอาที่มาที่ไป พร้อมทั้งประวัตินางสงกรานต์มากฝากกันค่ะ...

ตำนานนางสงกรานต์

          สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของนางสงกรานต์นั้น มีบันทึกไว้บนจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งรวยทรัพย์แต่ไม่มีบุตรไว้สืบสกุล โดยบ้านของเศรษฐีคนนี้ตั้งอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีที่ไม่มีบุตร จนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร แต่แม้ว่าเศรษฐีจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานกว่าสามปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีบุตร

          กระทั่ง วันหนึ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอไปถึงก็ได้นำข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐีจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานเทพบุตรให้องค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าเทพบุตรก็คลอดออกมา เศรษฐีจึงตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า "ธรรมบาลกุมาร" และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย


          เวลาผ่านไป ธรรมบาลกุมาร โตขึ้นได้เรียนรู้ภาษานก และเมื่ออายุเจ็ดขวบ ก็ได้เรียนไตรเภทจบ ธรรมบาลกุมาล จึงได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมาร เสีย ซึ่งปัญหาที่ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมาร ก็คือ "ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน"

          เมื่อได้ฟังคำถามดังนั้น ธรรมบาลกุมาร ไม่สามารถตอบได้ จึงขอผัดผ่อนท้าวกบิลพรหมไปอีก 7 วัน ระหว่างนั้น ธรรมบาลกุมาร ก็ได้พยายามคิดหาคำตอบ กระทั่งล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล โดยคิดว่า หากไม่สามารถตอบปัญหานี้ได้ ก็ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม

          นับเป็นโชคดีที่ธรรมบาลกุมารสามารถฟังภาษานกได้ และบังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัว ผัวเมียเกาะทำรังอยู่ ธรรมบาลกุมารจึงได้ยินนกสองตัวผัวเมียสนทนากัน โดยนางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้จะไปหาอาหารแห่งใด สามีได้ตอบนางนกไปว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมฆ่า เพราะตอบปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่าคำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้าศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยงศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน 

          เมื่อได้ยินดังนั้น ธรรมบาลกุมาร ก็ได้จดจำสิ่งที่สามีนกพูดไว้ กระทั่งวันรุ่งขึ้น ธรรมบาลกุมาร ได้นำคำตอบดังกล่าวไปตอบกับท้าวกบิลพรหม เมื่อท้าวกบิลพรหมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ด อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่าจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ตามคำท้าไว้ แต่ปัญหาก็คือ พระเศียรของพระองค์หากตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้น อย่างเช่น หากตั้งเศียรไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้โลก แต่ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง หรือถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง 

          ด้วยเหตุนี้ ท้าวกบิลพรหม จึงมอบหมายให้ธิดาทั้ง 7 ผลัดเวรกันนำพานมารองรับเศียร โดยให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต เป็นผู้เริ่มต้น ซึ่งนางทุงษะก็เชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที จากนั้นนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาศ และเมื่อครบกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้ง 7 ก็จะทรงพาหนะของตน ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ ทำเช่นนี้ทุก ๆ ปี และเนื่องจากเทพธิดาทั้ง 7 ปรากฏตัวในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า "นางสงกรานต์" ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น นัยก็คือ พระอาทิตย์ เพราะกบิล หมายถึง สีแดง
          ทั้งนี้ ในแต่ละปี นางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ และจะมีนาม อาหาร อาวุธ สัตว์ที่เป็นพาหนะต่าง ๆ กัน ดังนี้…

นางทุงษะเทวี 

           ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

          คำทำนาย : ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ ปีนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้จะงอกงามนัก ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเนา ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก ท้าวพระยาจะร้อนใจ ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันเถลิงศก พระมหากษัตริย์จะมีพระบรมเดชานุภาพ ปราบศัตรูได้ทั่วทุกทิศ 
นางสงกรานต์

นางโคราคะเทวี

           ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

          คำทำนาย : ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนคุณหญิง คุณนายทั้งหลายจะเรืองอำนาจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเนา มักเกิดความไข้ต่างๆ และเกลือจะแพง นางพญาจะร้อนใจ ถ้าวันจันทร์เป็นวันเถลิงศก พระราชินีและท้าวนางฝ่ายในจะมีความสุขสำราญ
นางสงกรานต์

นางรากษสเทวี

           ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

          คำทำนาย : ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง แต่ถ้าวันอังคารเป็นวันเนา ผลหมากรากไม้จะแพง ถ้าวันอังคารเป็นวันเถลิงศก ข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะมีความสุข มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่พาล

มณฑาเทวี

นางมณฑาเทวี


           ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

          คำทำนาย : ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ ถ้าวันพุธเป็นวันเนา ข้าวปลาอาหารจะแพง แม่หม้ายจะพลัดที่อยู่ ถ้าวันพุธเป็นวันเถลิงศก บรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจะมีความสุขสำราญ

กิริณีเทวี นางสงกรานต์ปี 2554

นางกิริณีเทวี


           ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

          คำทำนาย : ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ ผู้น้อยจะแพ้ผู้เป็นใหญ่ และเจ้านาย ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเนา ผลไม้จะแพง ราชตระกูลจะมีความร้อนใจ ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันเถลิงศก สมณชีพราหมณ์จะปฏิบัติกรณียกิจอันดีงาม


นางกิมิทาเทวี



           ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

          คำทำนาย : ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ ฝนชุก พายุพัดแรง ผู้คนจะเป็นโรคตาและเจ็บไข้กันมาก ถ้าวันศุกร์เป็นวันเนา พริกจะแพง แร้งกาจะเป็นโรค สัตว์ป่าจะเป็นอันตราย แม่หม้ายจะมีลาภ ถ้าวันศุกร์เป็นวันเถลิงศก พ่อค้าคหบดีจะทำมาค้าขึ้น มีผลกำไรมาก
นางสงกรานต์

นางมโหธรเทวี

           ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

          คำทำนาย : ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม จะเกิดการเจ็บไข้ร้ายแรง ถ้าวันเสาร์เป็นวันเนา ข้าวปลาจะแพง ข้าวจะได้น้อย ผลไม้จะแพง น้ำน้อย จะเกิดเพลิงกลางเมือง ขุนนางจะต้องโทษ ถ้าวันเสาร์เป็นวันเถลิงศก บรรดาทหารทั้งปวงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกศัตรู

          อย่างไรก็ตาม ยังมีคำทำนายนางสงกรานต์ ที่ทำนายตามความเชื่อเกี่ยวกับอิริยาบถของนางสงกรานต์ ดังนี้

           1.ถ้านางสงกรานต์ ยืนมา จะเกิดความเดือดร้อนเจ็บไข้
           2.ถ้านางสงกรานต์ นั่งมา จะเกิดความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตายและเกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ
           3.ถ้านางสงกรานต์นอนลืมตา ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข
           4.ถ้านางสงกรานต์นอนหลับตาพระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี



ที่มา : http://www.watchlakorn.in

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

ผลการเคลื่อนที่จากแผ่นธรณีภาค

  การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาคทำให้ผิวโลกค่อนข้างเรียบในยุคสมัยแรกๆ ที่โลกถือกำเนิดขึ้้น
มากลายเป็นโลกที่มีส่วนสูงๆ ต่ำๆ ของภูเขา หุบเหว ที่ราบสูง ที่ราบต่ำ และแอ่งขนาดใหญ่ที่รองรับ
น้ำ คือ ทะเลและมหาสมุทร ตลอดจนแหล่งน้ำต่างๆ บนพื้นดิน เช่น ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำธาร ซึ่ง
ปรากฎให้เห็นทุกหนทุกแห่งทั่วโลก
  นอกจากนี้การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาคก็ยังก่อให้เกิดแรงอัด แรงดึง และแรงเฉือนในชั้นหิน
ทำให้เกิดรอยคดโค้งหรือรอยเลื่อนในชั้นหินที่ประกอบด้วยกันเป็นเปลือกโลกได้

      1. รอยคดโค้ง
            รอยคดโค้ง (fold) ของหินโผล่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนลักษณะที่เกิดจากผลของ 
แรงเค้น จนเกิดความเครียดในหินโดยแสดงออกในรูปของการคดโค้ง โก่งงอ หรือหักพับ 
รอยคดโค้งมีได้ทั้งขนาดเล็กแบบดูด้วยตาเปล่าไม่เห็น (microscopic scale) ขนาดเท่ากับฝ่ามือ
 (mesoscale) หรือใหญ่ (macroscopic หรือ regional scale) จนปรากฏในภาพถ่ายทางอากาศหรือ
ภาพโทรสัมผัสได้ การเกิดชั้นหินคดโค้งจึงต้องเกิดในสภาวะที่หินมีลักษณะอ่อนนิ่ม สามารถ
เคลื่อนตัวไหลและยืด ชั้นหินที่แข็งแรงแสดงชั้นชัดเจนเกิดการโค้ง มักแสดงการโค้งแบบการไหล
เลื่อนไปตามชั้น (layer-parallel slippage) เหมือนการโค้งพับหนังสือ แต่สำหรับชั้นหินที่อ่อนนิ่ม 
การโค้งมักแสดงในรูปไหลลื่นยืดออก หรือบางครั้งเกิดการละลายความดันในส่วนที่เป็นรอยแตก
เรียบได้ โครงสร้างของรอยคดโค้งแบ่งได้เป็น โครงสร้างประทุนคว่ำ (anticline) และโครงสร้าง
ประทุนหงาย (syncline) โดยชั้นหินแก่อยู่ล่างชั้นหินอ่อน แต่ถ้ายังไม่สามารถลำดับอายุของชั้น
หินได้ควรเรียกเพียง antiform หรือ synform

รูปภาพ รอยคดโค้งเกิดจากการบีบอัดอย่างรุนแรง


    2.รอยเลื่อน
        รอยเลื่อน ( fault) หรือ แนวรอยเลื่อน (fault line) เป็นรอยแตกระนาบ (planar fracture) 
ในหิน ที่หินด้านหนึ่งของรอยแตกนั้นเคลื่อนที่ไปบนหินอีกด้านหนึ่ง รอยเลื่อนขนาดใหญ่ในชั้น
เปลือกโลกเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกันหรือเฉือนกันและเขตรอยเลื่อนมีพลัง 
(active fault zone) เป็นตำแหน่งที่ไม่แน่นอนของการเกิดแผ่นดินไหวทั้งหลาย แผ่นดินไหวเกิด
จากการปล่อยพลังงานออกมาระหว่างการเลื่อนไถลอย่างรวดเร็วไปตามรอยเลื่อน รอยเลื่อนหนึ่งๆ
ตามแนวตะเข็บรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกของการแปรสัณฐาน (tectonic) สองแผ่นเรียกว่า
รอยเลื่อนแปรสภาพขนาดใหญ่ (transform fault)

ด้วยปรกติแล้วรอยเลื่อนมักจะไม่เกิดขึ้นเป็นรอยเลื่อนเดี่ยวอย่างชัดเจน คำว่า “เขตรอยเลื่อน” 
(fault zone) จึงถูกนำมาใช้เมื่อกล่าวอ้างถึงเขตที่มีการเปลี่ยนลักษณะที่ซับซ้อนที่เกิดขึ้นร่วมกับ
ระนาบรอยเลื่อน ด้านทั้งสองของรอยเลื่อนที่ไม่วางตัวอยู่ในแนวดิ่งเรียกว่า “ผนังเพดาน”
 (hanging wall) และ “ผนังพื้น” (foot wall) โดยนิยามนั้นหินเพดานอยู่ด้านบนของรอยเลื่อนขณะ
ที่หินพื้นนั้นอยู่ด้านล่างของรอยเลื่อน นิยามศัพท์เหล่านี้มาจากการทำเหมือง กล่าวคือเมื่อ
ชาวเหมืองทำงานบนมวลสินแร่รูปทรงเป็นแผ่นเมื่อเขายืนบนหินพื้นของเขาและมีหินเพดาน
แขวนอยู่เหนือเขานั่นเอง


รูปภาพ  ชนิดของรอยเลื่อน

    3.ภูเขา (mountain) เป็นลักษณะของพื้นโลกที่มีความสูงกว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบ
            ภูเขา หรือเทือกเขาหมายถึง ลักษณะภูมิประเทศ ที่มีความสูงตั้งแต่ 600 เมตรขึ้นไปจาก
พื้นที่บริเวณรอบ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเนินเขา แต่ว่าเนินเขานั้น จะมีพื้นที่สูงจากบริเวณรอบ ๆ
 ประมาณ 150 แต่ไม่เกิน 600 เมตร ภูเขาสามารถแบ่ง เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

    1.ภูเขาโก่งตัว เกิดจากการบีบอัดตัวของหินหนืด ในแนวขนาน
    2.ภูเขาเลื่อนตัวหรือหักตัว เกิดจากการเลื่อนของหินทำให้มีการยกตัวและการทรุดตัวเกิดเป็น
ภูเขา
    3.ภูเขาโดม เกิดจากการที่หินหนืดดันตัว แต่ว่ายังไม่ทันพ้นพื้นผิวของโลก ก็เย็นตัวก่อน
    4.ภูเขาไฟ เกิดจากการที่หินละลาย ก่อตัวและทับถมกัน






ที่มา : https://sites.google.com/site/janjira08060/phl-kar-kheluxnthi-cak-phaen-thrni-phakh

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

ดาวเทียม LANDSAT-8



ดาวเทียม LANDSAT-8

รายละเอียดดาวเทียม

ดาวเทียม LANDSAT 8 เริ่มปฏิบัติการวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ภายใต้การบริหารจัดการของ USGS โคจรสูงเหนือพื้นโลก 705 กิโลเมตร

อุปกรณ์บันทึกข้อมูล

LANDSAT - 8 Operational Land Imager (OLI) และ Thermal Infrared Sensor (TIRS)
แบนด์
ความยาวคลื่น (ไมโครเมตร)
รายละเอียดภาพ Resolution (เมตร)
1
0.43 - 0.45 (Coastal Aerosol)
30
2
0.45 - 0.51 (Blue)
30
3
0.53 - 0.59 (Green)
30
4
0.64 - 0.67 (Red)
30
5
0.85 - 0.88 (Near Intreared NIR)
30
6
1.57 - 1.65 (SWIR 1)
30
7
2.11 - 2.29 (SWIR 2)
30
8
0.50 - 0.68 (Panchromatic)
15
9
1.36 - 1.38 (Cirrus)
30
10
10.60 - 11.19 (Thermal Infrared - TIRS 1)
100
11
11.50 - 12.51 (Thermal Intrared - TIRS 2)
100
ที่มา:http://www.gistda.or.th/main/th/node/93

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

GIS VS Web-Service

            ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information Systems (GIS) คือ ระบบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ และเชื่อมโยงและผสมผสานข้อมูลทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล สามารถดัดแปลงแก้ไขและวิเคราะห์ และแสดงผลการวิเคราะห์ และการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้เห็นมิติและความสัมพันธ์ด้านพื้นที่ของข้อมูล ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจปัญหา และประกอบการตัดสินใจในการปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการใช้ทรัพยากรเชิงพื้นที่
           เนื่องจากชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ โดยทั่วไปจะมีความเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ไม่มากก็น้อย การตัดสินใจใดๆก็ตาม มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านภูมิศาสตร์เสมอ เทคโนโลยี GIS สามารถช่วยในการจัดการและบริหารข้อมูลเชิงพื้นที่ พร้อมทั้งทำให้สามารถเข้าใจในความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆในเชิงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี การนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในเทคโนโลยี GIS ทำให้ผู้ใช้สามารถลดเวลาที่ต้องเสียไปในการวิเคราะห์ข้อมูลได้มาก เช่นเดียวกับการที่สำนักพิมพ์นำเสนอข่าวสารต่างๆได้อย่างรวดเร็วและในราคาถูก เทคโนโลยี GIS ก็จะสามารถทำให้ข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นที่แพร่หลายและแพร่กระจายไปสู่ผู้ใช้ต่าง ๆ ได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดต้นทุนของการผลิตการปรับปรุง และการเผยแพร่ข้อมูล นอกจากนี้ เทคโนโลยี GISยังสามารถเปลี่ยนรูปแบบของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่โดยเปลี่ยนวิธีการนำเสนอและการใช้ประโยชน์ข้อมูลเชิงพื้นที่เหล่านั้น ข้อมูลเชิงพื้นที่นับว่าเป็นข้อมูลที่สามารถดัดแปลงให้มีความเหมาะสมกับความต้องการด้านต่างๆได้ง่ายโดยการนำเสนอ เทคโนโลยี GIS เข้ามาช่วย อีกทั้งในปัจจุบันการเข้าถึงที่รวดเร็วและเป็นปัจจุบันมากที่สุดคงไม่พ้นผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศผ่านระบบออนไลน์ ด้วยเทคโนโลยี "Web Service"
ตัวอย่าง
ระบบweb-serviceในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด โดยการนำเทคโนโลยีGIS มาช่วยในการแสดงผลข้อมูล โดยการทำวีดีทัศน์และข้อมูลสารสนเทศ จะนำ GISมาช่วยในการแสดงที่ตั้งและอาณาเขตของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยแบ่งโซนการท่องเที่ยวออกเป็นแต่ละประเภท โดยใช้สีที่แตกต่างกัน เช่น
สีเขียว แทนด้วย  สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
สีขาว  แทนด้วย  สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา
สีดำ    แทนด้วย  สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังนำ GIS มาแนะนำโซนของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม สถานที่ท่องแนะนำ สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดอุบลราชธานี ในรูปแบบของการใช้สีที่แตกต่างกันได้ด้วย เช่น สีเหลือง สีแดง  

 ข้อดีของการนำWeb-serviceมาประยุกต์ใช้กับระบบGIS

  • ·ข้อมูลมีขนาดใหญ่ ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์คุณภาพสูง จึงจะสามารถใช้งานได้ การให้บริการด้วย web service จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดา , Smart Phone , Tablet , iPad , iPhone สามารถใช้งาน GIS ได้
  • ข้อมูล GIS มีความซับซ้อน ยากต่อการนำไปใช้ของคนทั่วไป การให้บริการด้วย web serviceจะทำให้ผู้ใช้บริการ ที่ไม่มีความรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับ GIS สามารถใช้งาน GIS ได้
  • รูปลักษณ์รูปแบบในการใช้งาน เหมือนหรือใกล้เคียงกัน ในทุกๆเครื่องมือ  เนื่องจากเครื่องมือต่างๆ ดึงข้อมูลไปจาก Web Service เดียวกัน ทำให้ผู้ใช้มีความคุ้นเคยใช้งานได้ง่ายๆ กับทุกๆ เครื่องมือ
  • ปลอดภัยต่อการโจรกรรมข้อมูลทั้งฐานข้อมูล  เนื่องจากการบริการข้อมูลด้วย Web Serviceเครื่องแม่ข่ายให้บริการข้อมูลเฉพาะส่วนของข้อมูล ที่แสดงผลอยู่บนหน้าจอ ณ ขณะนั้นเท่านั้น ข้อมูลอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงปลอดภัยต่อการ copy data
  • สะดวกและง่ายต่อการพัฒนาโปรแกรมร่วมกัน เนื่องจากผู้พัฒนาโปรแกรม สามารถนำ Serviceไปพัฒนาต่อยอดได้เลย

ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบ ได้แก่
  • ความเสี่ยงจากผู้ปฏิบัติงาน เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากใช้งาน  การจัดความสำคัญในการเข้าถึง ข้อมูลไม่เหมาะสมกับการใช้งานหรือการให้บริการ โดยผู้ใช้อาจเข้าสู่ระบบสารสนเทศ หรือใช้ข้อมูลต่างๆ  ของกรมเกินกว่าอำนาจหน้าที่ของตนเองที่มีอยู่  และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลสารสนเทศได้
  • ความเสี่ยงจากภัยหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภัยพิบัติ ตามธรรมชาติหรือสถานการณ์ร้ายแรงที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกับข้อมูล และสารสนเทศ เช่น  ไฟฟ้าขัดข้อง น้ำท่วม ไฟไหม้ เป็นต้น
  • ความเสี่ยงด้านเทคนิค เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องมือและอุปกรณ์เอง อาจเกิดถูกโจมตีจากไวรัสหรือโปแกรมไม่ประสงค์ดี  ถูกก่อกวนจาก Hacker ถูกเจาะทำลายระบบจาก Cracker


  • ที่มา : http://it-wicos.blogspot.com/2013/09/gis-vs-web-service.html